ซินจ่าว เวียดนาม For Tour Waso บันทึกการเดินทาง 26-28 ธันวาคม 2550 คณะร่วมการเดินทางครั้งนี้มีทั้งหมด 10 ชีวิต และจุดนัดพบกันนั้นก็คือที่สนามบิน เริ่มต้นการเดินทาง Check in ยังเคาน์เตอร์ สายการบินนกแอร์ โดยเที่ยวบินที่ DD3200 เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ต่างแยกกันไป นัดเจอกันอีกทีที่ประตู gate แต่ทริปนี้ช่างเฉียดฉิวซะเหลือเกิน เมื่อพิมพรรณ ต้องการที่จะ Shopping เพื่อที่จะซื้อของ ใน Duty Free Shop และก็รับของที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ ก็อย่างๆที่รู้กันว่า Duty ในสนามบินนั้นไม่ใช่พื้นที่น้อยๆ เสียเมื่อไหร่ เรียกว่าระยะทางที่จะผ่านไปนั่งรอก่อนขึ้นเครื่อง โอโฮ แม่เจ้าขา....ของใน Duty ช่างยั่วน้ำลายพวกนักช๊อปเสียเหลือหลาย..ระยะทางที่จะ shop นั้น ไม่มีเบื่อเลยล่ะ ลืมเวลาขึ้นเครื่องได้เลย หากมัวเพลิน ไม่รู้กะเวลาล่ะก็มีสิทธิ์ตกเครื่องได้นะจะบอกให้ (เดี๋ยวหาว่าไม่บอกกัน) งานนี้วิ่งแจ้นขึ้นเครื่องชนิดที่นายโทรมาตาม นับสิบกว่าครั้ง ( มัวทำไรอยู่เครื่องจะออกมะรอมมะร่ออยู่แล้วนะ ) ฮ่าฮ่า.....ฮ่ะแฮ่ะ เสียงตามสายมาเป็นระยะๆ เราก็ไม่ไหวแล้วคืนรอ พิมพรรณ มีหวังขึ้นเครื่องไม่ทันอิอิ เจอกันที่เครื่องนะ ok แล้วเราก็ต้องทำเวลาแล้ว สรุปว่ามีรถมารับเพราะว่าไม่ได้เดินขึ้นเครื่องที่งวงช้างอย่างที่คิดไว้ ต้องนั่งรถรับส่ง ไปอีกตั้งไกลค่า...เป็นบัสสุดท้ายที่คณะเราขึ้นเครื่องบัสนี้สำหรับนัก shopping จริงๆๆเลย เพราะแอบฟังคนอื่นที่ขึ้นเครื่องพร้อมเราก็บอกว่าอดใจไม่ไหวที่จะไม่ซื้อ แถมยังอยากที่จะ shop ต่อ (เป็นไงบ้างล่ะคะก่อนเดินทางไปเวียดนามก็พากันละลายทรัพย์เสียนี่) เอาล่ะนั่งที่ประจำนี่ แอร์โฮสฯบอกว่าเครื่องกำลัง Flying แล้ว ลาว.... เอ้ย เรา สามคน (พิม ตอม เมย์) ก็โดนดุกันจนได้ ว่าทำอะไรกันอยู่เดี๋ยวให้วิ่งตามเครื่องหรอก.....ฮ่ะฮ่ะ.. และแล้วก็ View from the Top เที่ยวครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วค่ะ แต่ครั้งกระโน่นเมื่อนานมาแล้ว เมื่อสมัยที่เรียนจบใหม่ๆ แต่อะตอมก็ บ่อยั่น ฮ่าฮ่า เพราะเคยได้ลั่นวาจาไว้ก่อนหน้านี้ต่อหน้าทะเลสาปคืนดาบที่ ฮานอยแล้วว่าหาก “ข้าพเจ้ายังมัวาสนากับที่นี่ขอให้ข้าพเจ้าได้มาเหยีบที่นี่อีกทีเถิด” และแล้วความปราถนาของเราก็เป็นจริงเมื่อตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเครื่อง ขณะเครื่อง Flying อยู่ นักบินก็เสียงมาตามสายว่าขณะนี้เครื่องได้บินอยู่แถบเหนือ “น่านฟ้าจังหวัดขอนแก่น” และแล้วก็ได้ยินเสียของนายบอกว่า โดนเลยถึงบ้านแล้ว ฮ่ะฮ่ะ อยากโดดเหมือนกันค่าแต่เสียดายชีวิตนี้ หนูยังไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลเล้ย เอาไว้ก่อนค่ะ อิอิ..... และระหว่างที่นั่งๆอยู่ ก็มีบริกร หรือที่เราเรียกๆๆกันว่าพวกนางฟ้านี้ล่ะค่ะ จะคอยให้บริการเครื่องดื่มและอาหารตลอดเลยค่ะ แต่อะอะ..ต้องเสียตังค์ซื้อนะคะเพราะว่าสายการบินนี้เป็นสายการบิน Low Cost รู้ไม๊ค่ะว่าอาหารที่ยอดนิยมและก็นิยมตลอดการ นั้นคือ อาหารญี่ปุ่น .....มาม่าคัพค่า.....haha ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่ากินมาม่าที่บ้านกับกินแบบลอยฟ้านี้รถชาติมันต่างกันอย่างไร แต่ก็เห็นผู้โดยสารสั่งกันแบบว่ากินอย่างเอร็ดอร่อยมากๆๆๆๆทั้งคนไทยและทั้ง ฝาหรั่ง แต่ไม่ยักกะมีเจ้าของต้นตำหรับมาและสั่งกินเลย..และแล้วการ Flying ครั้งนี้ รวมแล้ว 1.50 ชม.นั่งยังไม่ทันได้ก้นร้อนเลยค่ะ จากกรุงเทพฯ เครื่องกำลังจะ landing ที่สนามบินระหว่างประเทศที่กรุงฮานอยมีชื่อว่า นอยไบ (Noi Bai) แล้ว แต่เอ๊ะในระหว่างบินอยู่บนฟ้า ไม่ยักกะเห็นนางฟ้าและเทวดาอยู่บนก้อนเมฆเลย สงสัยท่านจะกลัวเครื่องบิน บินชน ....
เมื่อเครื่อง Landing ทุกอย่างก็เริ่มต้นการผ่านด่านอีกครั้งที่ สนามบินฮานอยขั้นตอนการเข้าออกก็แสนงายมากค่ะ โดยผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทย ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (วีซ่า) โดยสามารถอยู่ในเวียดนามได้ไม่เกิน 30 วัน ยื่นใบตรวจคนเข้าเมือง (สีฟ้า) ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานฯ ในวันเดินทางถึง และต้องเก็บสำเนาไว้ แสดงต่อเจ้าหน้าที่ฯ เมื่อเดินทางออกจากเวียดนาม
ยื่นใบสำแดงภาษีศุลกากร (สีเหลือง) สำหรับสัมภาระที่นำติดตัวมา และเก็บสำเนาไว้สำหรับการเดินทางออกจากเวียดนาม เมื่อทุอย่างโดยประทับตราเข้าเมืองแล้วทุกคนต้องมารอรับกระเป๋ากันที่สายพาน อากาศเริ่มหนาวและต่างจากเมื่อตะกี๊ที่เรามาจากเมืองไทยเพราะเพิ่งจะร้อนเป็นตับแล่บ แต่ทุกคนก็ต้องร้องหาเสื้อกันหนาวจ๋า...อยู่หนาย พอเริ่มออกจาก ประตูก้าวย่างออกมาเห็นไกด์ชู้ป้ายรอรับที่หน้าประตูและมีผู้ร่วมเดินทางด้วยอีก 2 คน คือ สามีและภรรย่าที่น่ารักทั้งคู่ พี่แว่น และคุณอำนาจ สองสามีภรรยาทีแรกนึกว่าเป็นคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันกัน แต่ที่ไหนได้ มีลูกสองแล้วค่า...........
โฉมหน้า (ข้างๆ) รถนินิบัสที่ใช้ในการเที่ยวครั้งนี้ ยังใหม่ค่ะ หากใครคิดว่าไปเที่ยวเวียดดนามรถที่ให้นั้นเป็นรถที่ล้าสมัยนั้นคิดผิดค่ะ ...เพราะรถที่ใช้ในการท่องเที่ยวส่วนมากนั้นจะเป็นรถ ค่อนข้างใหม่ค่ะ อิอิใหม่ในที่นี้คือบ้านเขานะคะแต่ถือว่า ok แต่สภาพการจราจร อย่าพูดถึงเลยค่า เรียกได้ว่า ถ้าใครอยากที่จะไปลงทุนทำธุรกิจซักอย่างแนะนำให้เปิดธุรกิจเกี่ยวกับ แตรรถค่ะ เพราะไม่ว่าจะอะไปก็แล้วแต่ แตรรถสำคัญที่ส็ดดด เรียกว่ามีรถที่ไหน เขาจะบีปแตรที่นั่น ทุกๆแยกทุกถนนทุกไฟแดงหรือแม้กระทั่ง ป้ายห้ามกดแตรบริเวณโรงพยาบาลก็มิเว้น กดตลอด ค่ะ...แส้นทาง เพราะฉะนั้นอาชีพ หรือธุรกิจที่น่าลงทุนที่สู้ดเลย คือ รับซ่อมแตรรถรถ ฮาฮาฮา....เริ่มมีฝนลงและอากาศก็หนาวขึ้นมาทันใดทุกคนต้องรีบขึ้นรถ รถที่ใช้และระหว่างที่เที่ยวครั้งนี้จะเป็นมินิบัส พวงมาลัยนั้นจะเป็นด้านซ้าย และคนขับก็มือต้องไวในการกดแตร..และทั้งหมด ระหว่างทางไม่ต้องพูดถึงรถไม่ต้องให้แอร์เพราะอากาศก็หนาวถึงใจอยู่แล้ว ไกด์เราได้บอกว่า กรุงฮานอยและบริเวณตอนเหนือของเวียดนามมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น และชื้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม
เพราวันนี้ที่เรามานั้นเป็นช่วงปลายปีก็ไม่ต้องพูดถึง หนาวก็หนาวถึงใจ ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม อากาศค่อนข้างร้อนจัด ...อ้อส่วนไกด์นำทาง หรือว่าบรรยายในตลอดทั้งทริปนี้ เป็นไกด์กิติมศักดิ์เชียวค่ะ คือ ไกด์ พี่แต๋ว ค่า....พูดไทยชัดและคล่องมากๆๆ จะไม่ให้ชัดและคล่องได้อย่างไรล่ะคะ ประมาณว่าเกิดที่เวียดนาม โตที่มุกดาหารฝั่งไทย ย้ายบ้านไปอยู่ที่อุดรธาฯ บ้านเฮานี้เองค่ะ และแต่งงานกับคนเวียดนาม เป็นเจ้าหน้าที่ในสถานทูต (อิอิ..พี่แต๋วบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่นะคะ ไม่ได้เป็นท่านฑูต ฮาฮา..)
ระหว่างทางได้มองเห็นบรรยากาศรอบๆๆรถที่วิ่งผ่าน บรรยากาศระหว่างทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองฮานอย จะเห็นเป็นตลาด (ดิน กะ แด or แบกับดินจริงๆค่ะ) บรรยากาศสดๆกับฝนโปรยลงมา หนาวจับใจดีค่ะ....
เมื่อเครื่อง Landing ทุกอย่างก็เริ่มต้นการผ่านด่านอีกครั้งที่ สนามบินฮานอยขั้นตอนการเข้าออกก็แสนงายมากค่ะ โดยผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทย ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (วีซ่า) โดยสามารถอยู่ในเวียดนามได้ไม่เกิน 30 วัน ยื่นใบตรวจคนเข้าเมือง (สีฟ้า) ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานฯ ในวันเดินทางถึง และต้องเก็บสำเนาไว้ แสดงต่อเจ้าหน้าที่ฯ เมื่อเดินทางออกจากเวียดนาม
ยื่นใบสำแดงภาษีศุลกากร (สีเหลือง) สำหรับสัมภาระที่นำติดตัวมา และเก็บสำเนาไว้สำหรับการเดินทางออกจากเวียดนาม เมื่อทุอย่างโดยประทับตราเข้าเมืองแล้วทุกคนต้องมารอรับกระเป๋ากันที่สายพาน อากาศเริ่มหนาวและต่างจากเมื่อตะกี๊ที่เรามาจากเมืองไทยเพราะเพิ่งจะร้อนเป็นตับแล่บ แต่ทุกคนก็ต้องร้องหาเสื้อกันหนาวจ๋า...อยู่หนาย พอเริ่มออกจาก ประตูก้าวย่างออกมาเห็นไกด์ชู้ป้ายรอรับที่หน้าประตูและมีผู้ร่วมเดินทางด้วยอีก 2 คน คือ สามีและภรรย่าที่น่ารักทั้งคู่ พี่แว่น และคุณอำนาจ สองสามีภรรยาทีแรกนึกว่าเป็นคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันกัน แต่ที่ไหนได้ มีลูกสองแล้วค่า...........
โฉมหน้า (ข้างๆ) รถนินิบัสที่ใช้ในการเที่ยวครั้งนี้ ยังใหม่ค่ะ หากใครคิดว่าไปเที่ยวเวียดดนามรถที่ให้นั้นเป็นรถที่ล้าสมัยนั้นคิดผิดค่ะ ...เพราะรถที่ใช้ในการท่องเที่ยวส่วนมากนั้นจะเป็นรถ ค่อนข้างใหม่ค่ะ อิอิใหม่ในที่นี้คือบ้านเขานะคะแต่ถือว่า ok แต่สภาพการจราจร อย่าพูดถึงเลยค่า เรียกได้ว่า ถ้าใครอยากที่จะไปลงทุนทำธุรกิจซักอย่างแนะนำให้เปิดธุรกิจเกี่ยวกับ แตรรถค่ะ เพราะไม่ว่าจะอะไปก็แล้วแต่ แตรรถสำคัญที่ส็ดดด เรียกว่ามีรถที่ไหน เขาจะบีปแตรที่นั่น ทุกๆแยกทุกถนนทุกไฟแดงหรือแม้กระทั่ง ป้ายห้ามกดแตรบริเวณโรงพยาบาลก็มิเว้น กดตลอด ค่ะ...แส้นทาง เพราะฉะนั้นอาชีพ หรือธุรกิจที่น่าลงทุนที่สู้ดเลย คือ รับซ่อมแตรรถรถ ฮาฮาฮา....เริ่มมีฝนลงและอากาศก็หนาวขึ้นมาทันใดทุกคนต้องรีบขึ้นรถ รถที่ใช้และระหว่างที่เที่ยวครั้งนี้จะเป็นมินิบัส พวงมาลัยนั้นจะเป็นด้านซ้าย และคนขับก็มือต้องไวในการกดแตร..และทั้งหมด ระหว่างทางไม่ต้องพูดถึงรถไม่ต้องให้แอร์เพราะอากาศก็หนาวถึงใจอยู่แล้ว ไกด์เราได้บอกว่า กรุงฮานอยและบริเวณตอนเหนือของเวียดนามมีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น และชื้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม
เพราวันนี้ที่เรามานั้นเป็นช่วงปลายปีก็ไม่ต้องพูดถึง หนาวก็หนาวถึงใจ ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม อากาศค่อนข้างร้อนจัด ...อ้อส่วนไกด์นำทาง หรือว่าบรรยายในตลอดทั้งทริปนี้ เป็นไกด์กิติมศักดิ์เชียวค่ะ คือ ไกด์ พี่แต๋ว ค่า....พูดไทยชัดและคล่องมากๆๆ จะไม่ให้ชัดและคล่องได้อย่างไรล่ะคะ ประมาณว่าเกิดที่เวียดนาม โตที่มุกดาหารฝั่งไทย ย้ายบ้านไปอยู่ที่อุดรธาฯ บ้านเฮานี้เองค่ะ และแต่งงานกับคนเวียดนาม เป็นเจ้าหน้าที่ในสถานทูต (อิอิ..พี่แต๋วบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่นะคะ ไม่ได้เป็นท่านฑูต ฮาฮา..)
ระหว่างทางได้มองเห็นบรรยากาศรอบๆๆรถที่วิ่งผ่าน บรรยากาศระหว่างทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองฮานอย จะเห็นเป็นตลาด (ดิน กะ แด or แบกับดินจริงๆค่ะ) บรรยากาศสดๆกับฝนโปรยลงมา หนาวจับใจดีค่ะ....
เอาล่ะค่ะวันนี้มื้อแรกก็เริ่ม รับประมาณกันเลย เปิดเมนูวันนี้เป็น เฝอ... สไตล์เวียดนามแต่ไม่ใช่ Original นะ เป็นเฝอที่อร่อยในระดับหนึ่งที่กินแล้วติดปากคนไทยอย่างเราๆ แต่หละงจากที่กินเสร็จแล้ว ไม่อยากบอกเล้ยยย ว่าคอแห้ง คอแห้งเป็นผง ต้องขอน้ำสักขวดหน่อยเอ้อออ สงกะสัยชูรสมันเยอะไปหน่อย เพิ่มพลังเสร็จก็เดินทางต่อ ย้ำ..เดินค่ะ เพื่อที่จะไปชมวัดที่อยู่ใกล้ๆกับร้านอาหาร
บริเวณวัด ข้างในมีนักท่องเที่ยวมากมายทั้งชาวไทย และต่างประเทศ (ฝาหรั่ง) แต่เสียอย่างเดียวไม่มีห้องน้ำ แต่เอ๊ะๆๆๆๆ มีค่า แต่ไม่น่าเข้าแล้วล่ะ ....
ณ วัดที่ตรงนี้ นั้นมีประวัติและมีตำนานอันยาวนานชองชนชาวเวียต เพราะที่นี่ถือว่าเป็นวัด หรือเป็นที่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม หรือเขาเรียนว่ามหาวิทยาลัย สำหรับ จองหงวน ไนสมัยนั้น แต่ว่าทำไมก็ไม่รู้อีกล่ะค่ะว่าเป็นไมแผ่นบันทึก เรื่องราวประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้จึงมีแต่แผ่นปูนทั้งน้าน...คงประมาณว่าการศึกษาที่มีรากฐานที่แข็งแรงจะได้พาให้ประเทศไปสู่การพัฒนาที่ดีกว่าเดิมค่า.......
บริเวณวัด ข้างในมีนักท่องเที่ยวมากมายทั้งชาวไทย และต่างประเทศ (ฝาหรั่ง) แต่เสียอย่างเดียวไม่มีห้องน้ำ แต่เอ๊ะๆๆๆๆ มีค่า แต่ไม่น่าเข้าแล้วล่ะ ....
ณ วัดที่ตรงนี้ นั้นมีประวัติและมีตำนานอันยาวนานชองชนชาวเวียต เพราะที่นี่ถือว่าเป็นวัด หรือเป็นที่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม หรือเขาเรียนว่ามหาวิทยาลัย สำหรับ จองหงวน ไนสมัยนั้น แต่ว่าทำไมก็ไม่รู้อีกล่ะค่ะว่าเป็นไมแผ่นบันทึก เรื่องราวประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้จึงมีแต่แผ่นปูนทั้งน้าน...คงประมาณว่าการศึกษาที่มีรากฐานที่แข็งแรงจะได้พาให้ประเทศไปสู่การพัฒนาที่ดีกว่าเดิมค่า.......
4 comments:
ตามอะตอมมาเที่ยวหนุหหนานไปด้วยเลย เล่าเรื่องได้สนุกมากๆ
Happy holidays!
น่าหนุกเน่อะ ดารินจะพาไปบ้านแม่ที่นอร์ธดาโกต้าอีกแล้วคริสมาสนี้ 22-27 หนาวๆๆๆๆ พี่เขียนเล่าตอนไปเมื่อ thanksgiving ไว้ที่สเปสน่ะแวะไปอ่านได้น่ะ แต่ว่ายาวๆๆๆๆๆๆ www.oath66.spaces.live.com แล้วจะแวะมาใหม่นะจ่ะ
แตงส์กิฟวิ่ง ตามที่จำได้จากที่เรียนภาษาประกิตกับอาสาที่โบสถ์ ครูสอนเรื่องนี้ด้วยบอกว่าเขาขอบคุณที่ได้มีอาหารกินดี อยู่ดี มีสุขภาพดี แต่ความเป็นมาจำมะได้อะดิ...ฮ่าฮ่า
Wow Glad that you have time to travel . You did a great Job Nong Atom
Post a Comment